สเตียรอยด์ คืออะไร
สเตียรอยด์ เป็นกลุ่มฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นได้เอง ในปริมาณเพียงเล็กน้อย เพื่อทำหน้าที่ในกระบวนการต่างๆของร่างกายให้เป็นปกติ ตัวอย่าง เช่น ต้านการอักเสบ ลดอาการปวด ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานเป็นปกติ เป็นต้น เนื่องด้วยคุณสมบัติของสารสเตียรอยด์ที่จำเป็นต่อร่างกาย จึงทำให้มีการผลิตสเตียรอยด์สังเคราะห์ขึ้นเพื่อใช้ทางการแพทย์ มีหลายชนิด และหลายรูปแบบทั้งยาฉีด ยาเม็ด และยาครีม
สำหรับสเตียรอยด์สังเคราะห์ 2 ชนิดที่ตรวจพบว่ามักนำมาปนปลอมในยาแผนโบราณ มีชื่อว่า เด็กซาเมทาโซน (Dexamethasone) และ เพร็ดนิโซโลน (Prednisolone) เป็นยาแผนปัจจุบันในรูปแบบยาเม็ด โดยมีการนำมาบดผสมในยาแผนโบราณ เนื่องจากสเตียรอยด์มีฤทธิ์ต่อหลายระบบในร่างกาย ระยะแรกที่ได้รับสเตียรอยด์อาจรู้สึกว่าทำให้อาการโรคดีขึ้น ผู้รับประทานจึงหลงเชื่อและรับประทานต่อเนื่อง ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก เนื่องจากเป็นการได้รับยาที่ไม่ได้บ่งใช้โดยแพทย์ เนื่องจากสเตียรอยด์เป็นยาอันตราย มีผลข้างเคียงมาก การใช้ยาต้องมีการติดตามและปรับขนาดยาให้เหมาะสม มักไม่ใช้ต่อเนื่องนานโดยไม่จำเป็นและแพทย์ต้องดูแลใกล้ชิด
โทษของ สเตียรอยด์
สเตียรอยด์ สังเคราะห์เป็นสารที่มีผลต่อระบบต่างๆในร่างกายทุกระบบ ดังนั้นการใช้ยาสเตียรอยด์อย่างไม่ถูกต้อง อาจนำไปสู่อันตราย เช่น
- กดภูมิคุ้มกันของร่างกายทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง ทำให้ติดเชื้อง่าย เป็นแผลที่ผิวหนังตามร่างกาย แขน ขา นิ้วมือ ทำให้แผลหายช้า บางรายแผลลุกลามทั่วร่างกายจนเกิดการติดเชื้อเข้าในกระแสเลือด และบางทีสเตียรอยด์อาจปิดบังอาการแสดงของโรคติดเชื้อ กว่าจะตรวจพบ เชื้อโรคก็ลุกลามรุนแรงมากจนทำให้เสียชีวิต
- ทำให้เยื่อบุในกระเพาะอาหารบางลงและยับยั้งการสร้างเนื้อเยื่อกระเพาะ อาหารใหม่ อาจทำให้กระเพาะอาหารทะลุ หรือเลือดออกในกระเพาะอาหารโดยไม่มีอาการปวดท้องมาก่อน
- ทำให้ ผู้ป่วยเบาหวานไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในช่วงปกติได้ จะมีระดับน้ำตาลสูง
- ทำให้ผู้ป่วยความดันโลหิตไม่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิต ให้อยู่ในช่วงปกติได้ จะมีระดับความดันโลหิตสูง แต่ไม่มีอาการเตือน เป็นภัยเงียบที่อาจทำให้เกิดเส้นเลือดในสมองแตก เสี่ยงเป็นอัมพฤต-อัมพาตได้
- ทำให้กระดูกพรุน แตกหักง่าย ดังนั้น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคไขกระดูก ผู้อยู่ในวัยทอง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรตรวจภาวะกระดูกพรุนหรือปรึกษาหมอก่อนใช้ยา
- ทำให้อ่อนเพลีย กล้ามเนื้อบริเวณแขน และขาไม่มีแรง จึงปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ หัวใจเต้นผิดจังหวะหรืออาจหยุดเต้นได้
- ยาหยอดตาที่ผสมสเตียรอยด์ ใช้ต่อเนื่องนานๆอาจทำให้เป็น ต้อหิน หรือทำให้เลนส์กระจกตาขุ่นเกิดเป็นต้อกระจก หรือทำให้เกิดติดเชื้อที่ตาได้ง่าย อาจถึงขั้นตาบอด ไม่ควรซื้อยามาหยอดเอง ควรไปให้หมอตรวจและสั่งยาให้ และต้องไปตรวจซ้ำตามหมอนัดทุกครั้ง เพื่อวัดความดันภายในลูกตาซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต้อหิน
- สเตียรอยด์ชนิดยาทาภายนอก หากใช้นานๆติดต่อกัน จะทำให้ผิวหนังบาง เส้นเลือดที่ผิวหนังแตกง่าย จะเห็นรอยแตกสีม่วงแดงตามผิวหนังที่หน้าท้องและต้นขา ผิวหนังมีลักษณะเป็นมัน อักเสบมีผื่นแดง บางรายอาจเป็นสิวเห่อขึ้นทั้งตัว
- ทำให้ อารมณ์แปรปรวนง่าย การใช้สเตียรอยด์ในขนาดสูง จะทำให้เกิดอารมณ์เป็นสุข จึงทำให้ผู้ใช้ชอบใช้จนติดยา แต่ใช้ไปนานๆอาจพบอาการที่เป็นผลข้างเคียงจากยาตามมาได้ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร กระสับกระส่าย ปวดศีรษะ หงุดหงิด เป็นต้น
- การใช้สเตียรอยด์มากเกินขนาด จะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า “คุชชิ่ง ซินโดรม (Cushing Syndrome)” ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของการใช้สเตียรอยด์ในปริมาณที่มาก มีลักษณะที่สังเกตุได้ คือ ใบหน้ากลมคล้ายพระจันทร์ มีไขมันพอกที่ต้นคอ ด้านหลังเป็นหนอก ผิวหนังบาง มีรอยแตกสีม่วงแดงตามผิวหนังที่หน้าท้องและต้นขา มีข้อมูลทางวิชาการยืนยัน ว่าผู้ที่มีอาการถึงขั้น คุชชิง ซินโดรม จะมีความเสี่ยงถึงขั้นเสียชีวิตจากโรคไตสูงถึง 12 เท่า เสี่ยงต่อกระดูกหักจากกระดูกผุ 23 เท่า
เมื่อร่างกายได้รับสารสเตียรอยด์เป็นเวลานานร่างกายจะหยุดสร้างสเตียรอยด์ตามธรรมชาติ ที่เคย สร้างเอง ดังนั้นเมื่อผู้ใช้หยุดใช้ยานี้อย่างกะทันหันจะทำให้ร่างกายขาดสเตียรอยด์อย่างฉับพลัน อาจเกิดภาวะช็อก หมดสติและเสียชีวิตได้หากนำส่งโรงพยาบาลไม่ทัน ดังนั้นหากสงสัยว่ากินสเตียรอยด์จากการซื้อมาเอง ไม่ใช่การรักษาโดยหมอ อย่าหยุดยาเอง ขอให้รีบไปปรึกษาหมอให้เร็วเพื่อหาทางลดยา
ความน่ากลัวของการใช้ครีมที่ผสมสเตียรอยด์ อันตรายกับผิวอย่างไร
ผู้ที่ใช้ครีมชนิดนี้เป็นเวลานานจนหน้าติดสเตียรอยด์ จะเกิดผลเสียตามมา คือ สารชนิดนี้จะทำให้ผิวหน้าของผู้ใช้บางลง เมื่อโดดแสงแดดก็จะส่งผลให้มีอาการแสบร้อนบนใบหน้า และยังทำให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังเปราะบางและแตกได้ง่าย รวมถึงยังมีอาการสิวและผื่นอักเสบขึ้นมาบริเวณรอบๆปากได้อีกด้วย ซึ่งผู้ที่ติดสเตียรอยด์นั้นจะไม่สามารถที่จะหยุดใช้ยาได้ เพราะหากหยุดใช้ยาเหล่านี้ก็จะเกิดอาการแดงที่บริเวณใบหน้าและการอักเสบของผิวก็จะมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่รักษาให้หายได้ยากมาก นอกจากนั้นหากเราได้ใช้ในปริมาณที่มากเกินไปก็จะทำให้ส่งผลเสียต่ออวัยวะภายในของเราโโยตรงอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ต่อมหมวกไตผิดปกติที่มักจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ และยังอาจส่งผลให้เด็กมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติได้อีกด้วย คลิก!อ่านเกร็ดความรู้เพิ่มเติม
ขอบคุณข้อมูลจาก :
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักยาและวัตถุเสพติด
และ